Archive

แหล่งท่องเที่ยว

แสงแดดที่ร้อนแรง สลับสับเปลี่ยนกับอากาศที่ครึ้มฟ้าครึ้มฝน พร้อมที่ฝนตกแดดออกได้ตลอดเวลา ทำให้ร่างกายของผู้เขียนร้อน ๆ หนาว ๆ จนเหมือนจะเป็นไข้อยู่ทุกวันเนื่องจากปรับสภาพร่างกายตามไม่ทัน แต่วันนี้ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าชมสวนภายในงานมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระ เกียรติฯ 2554 เชียงใหม่ อดไม่ได้คะที่เจาะลึกทุกแง่มุมรายละเอียดภายใต้การจัดงาน ของมหกรรมพืชสวนโลกเฉลิมพระเกียรติฯ 2554 เพื่อนำมาฝากให้หลายคนที่ชอบท่องเทียวชื่นชมความงามและหาความรู้จากการเดิน ทางประเทศภูฏานเป็นหนึ่งในหลายประเทศ ที่ผู้เขียนเชื่อว่าหลายท่านอยากจะไปเยือนสักครั้งหนึ่งของชีวิต เนื่องจากเป็นประเทศ ที่มีวิถีชีวิตในรูปแบบ Living in hamony with nature อยู่อย่างกลมกลืนกับธรรมชาติ มีความสงบ สันติ และสะท้อนออกมาทางด้านผลงานสถาปัตยกรรม สิ่งที่สะดุดตาผู้เขียนยิ่งนักคือสีสันที่สดใสโดดเด่น และเป็นสีที่เกิดขึ้นจากธรรมชาติมีสีที่แตกต่างกันออกไป ดินสี ในแต่ล่ะภูมิภาคของประเทศภูฏานมีความติดกับวัสดุไม้คงทนยาวนานถึง 50 ปี ผู้เขียนได้เข้าชมดูรายละเอียดของฝีมืองานช่าง ที่มีความวิจิตรประณีตบรรจงของช่างสีและช่างแกะสลัก โดยเดินทางมาจากภูฏาน ทำให้มีโอกาสพูดคุยและรับรู้ถึงความเป็นมิตรที่ดีพูดคุยด้วยท่าทียิ้มแย้ม เป็นการสร้างกัลยาณมิตรเชื่อมโยงสู่ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ด้วยความที่ผู้เขียนเป็นคนช่างสงสัยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยทำให้ต้องได้รับทราบ ที่มาของแต่ผลงาน เพื่อหาคำตอบมาประดับความรู้ให้กับตัวเองและเผยแพร่ให้กับผู้อื่นอยู่เสมอ เพราะความรู้มีอยู่รอบตัวเราทุกวินาที เช่น สะพานไม้ภายในสวนของประเทศภูฏาน ที่กำลังมีช่างสีเนรมิตอยู่นี้มีเรื่องราวที่น่าสนใจ โดยสื่อถึงความสัมพันธ์ระหว่างสหายทั้งสี่ คือ ช้าง ลิง กระต่าย และนก ซึ่งเป็นเรื่องราว เกี่ยวกับบทสอนใจทางจริยธรรม ในเรื่องความแข็งแกร่ง และไมตรีจิต ที่มีความเป็นกัลยาณมิตรที่ดีต่อกันแสดงออกให้เห็นการช่วยเหลือร่วมมือกัน ของสัต์ที่มีความแข็งแรง ซื่อสัตย์ เอื้อเฟื้อต่อกันในการดำเนินชีวิต ที่มีธรรมชาติเป็นองค์ประกอบ ร่วมทั้งเชื่อมโยงปรัญญาทางด้านศาสนา

นก ฟีนิกซ์ หรือจาห์ เซอริง ในเทพนิยาย บอกว่าไม่มีวันตาย นั้นหมายถึงมิตรภาพระหว่างชาวไทยและภูฏานจะไม่มีวันตายและเจริญรุ่งเรือง ตลอดกาล สื่อให้เห็นถึงความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศไทยและประเทศภูฏาน นอกจากนี้แล้วยังมี ‘หอระฆังพลังน้ำ’ จะมีบทสวดมนต์ ติดอยู่โดยรอบในตัวระฆังหากคนที่เคยเดินทางไปเที่ยวที่ประเทศภูฏาน มักจะพบเห็นได้ในวัดและตามป่าเขา เป็นการแสดงความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นอกจากนี้ยังมีการนำสัตว์นำโชคต่าง ๆ และมีความเชื่อมโยงกับศาสนา นำมาเป็นสัญลักษณ์แกะสลักบริเวณประตู ซึ่งเป็นวิถีชีวิตประจำวันของคนภูฏานที่มีการสืบทอดมายาวนานจนปัจจุบัน

สามารถหาชมได้ภายในงานมหกรรมพืชสวนโลก เฉลิมพระเกียรติฯ ราชพฤกษ์ 2554 จ.เชียงใหม่ โดยที่คุณไม่ต้องเดินทางไกลไปถึงประเทศภูฏาน รวมชื่นชมความงดงามและบรรยากาศของประเทศภูฏานได้ในระหว่าง วันที่ 9 พ.ย. – 15 ก.พ. 2555 นอกจากนี้แล้วยังมีสวนต่างประเทศที่น่าสนใจอีก 30 ประเทศ และในสวนของไม้ดอกไม้ประดับ ต้นไม้พันธุ์แปลกหายาก โลกนิทรรศการแมลง และความสุนทรียในกิจกรรมต่าง ๆ ติดตามได้ในตอนต่อไป

ไม่อยากเชื่อว่าสายฝนจะทำให้ภาพตรงหน้าชุ่ม ฉ่ำ สดชื่นได้ถึงเพียงนี้ ต้นไม้น้อยใหญ่ ภูเขา ท้องนา ทุกอย่างดูชื้นแฉะแต่สดใจและสวยได้ใจ เมืองเล็กๆ ในหุบเขา ที่ตอนนี้คงไม่ต้องซ่อนตัวอีกต่อไป เพียงเพราะว่าคนรู้จักเธอมากมาย แต่น้อยคนนักจะรู้จักเธอในช่วงหน้าฝนแบบนี้ “อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน”สาย ฝนเชิญชวนให้ฉันออกเดินทาง ฉันตั้งใจจะไปพบกับ อ.ปายในช่วงฤดูฝนแบบนี้ เพราะช่วงฤดูหนาวเราได้ทำความรู้จักกันแล้ว ไม่ว่าจะเป็นความหนาวที่ชวนหมอกมาล่องลอยอยู่รอบตัวในตอนเช้าๆ ถนนคนเดินที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว สร้างความครึกครื้นและไม่เหงาจนเกินไป ตอนนี้ฤดูฝน อ.ปายคงเหงา เราเลยต้องไปหา ฉันออกเดินทางด้วยรถทัวร์ตอนหนึ่งทุ่ม ไปถึงอาเขตตอนตี 4 กว่า นั่งหาววอดๆ ที่สถานีรอจนเช้า เพื่อเริ่มต้นเดินทางด้วยมอเตอร์ไซค์ ขี่ขึ้น อ.ปาย กันตั้งแต่เช้า ฉันและคนคู่ใจเลือกที่จะสัมผัสปายด้วยตัวเอง เดินทางแบบนี้ก็สนุก เราใช้เส้นทางที่มุ่งหน้าไป อ.แม่ริม วิ่งตรงไปจนเจอแยกแม่มาลัยแล้วเลี้ยวซ้าย ตรงขึ้น อ.ปาย ยาวๆ ระหว่างทางแวะเติมน้ำมันปั๊มหลอดอีก 1 ถัง แล้วก็ขี่ขึ้น อ.ปายกันต่อ ผ่านโค้งแล้วโค้งเล่า เนินชัน โค้งหักศอก และอาการหูอื้อตามมาติดๆ แต่สนุก เนื้อตัวได้สัมผัสไอแดดและลมอย่างเต็มที่ประมาณ 9 โมงเช้า เราก็มาถึง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน และฝนก็ตกลงมาเบาๆ ให้ชุ่มฉ่ำ เส้นทางที่ฉันผ่านเห็นท้องนากว้าง ชาวนากำลังดำนาอย่างขะมักเขม้น สีเขียวอ่อนๆ ของต้นข้าว ฉากหลังคือภูเขาสีเขียวเข้ม สบายตา สบายใจ เรากำลังมุ่งหน้าไปที่พัก ติดริมแม่น้ำปาย ซึ่งยามนี้ไหลเชี่ยวและเป็นสีโคลน แต่ไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด หลังจากเก็บสัมภาระและทักทายเจ้าบ้านที่คุ้นเคยแล้ว ฝนกลับตกลงมาอย่างหนัก เราจึงนั่งพักอ่านหนังสืออยู่หน้าบ้าน ให้คนรู้ใจได้พักขาหลังจากที่ขี่มอเตอร์ไซค์มายาวนานถึง 3 ชั่วโมง อากาศเย็นๆ นอนหลับไปพร้อมเสียงฝนและกลิ่นดิน ตื่นมาอีกทีก็เกือบเย็น ตั้งใจจะทำกับข้าวกินกับเจ้าบ้าน จึงชวนกันเข้าไปในตัวเมืองปาย ใกล้ๆ ถนนคนเดิน ช่วงเวลาประมาณ 16.00-17.30 น. จะมีตลาดสดไว้ซื้อของสดทำกับข้าว เรามาเดินช้อปของสดไปทำอาหารเย็นกัน หลังจากอิ่ม แล้วช่วงหัวค่ำก็ชวนกันออกมาเดินถนนคนเดิน ที่ยังคงฉ่ำไปด้วยน้ำฝน ร้านค้าต่างๆ เปิดต้อนรับเหมือนเคย แต่ตอนนี้ถนนโล่ง นักท่องเที่ยวบางตา เดินสบายคืนแรกหลับสบาย รุ่งเช้าตื่นมาแบบไม่มีฝน มองเห็นหมอกล่องลอยริมตีนเขาไกลๆ วันที่สองนี้ตั้งใจไปนอนแช่น้ำร้อนที่โป่งน้ำร้อนท่าปาย แถมจะไปกินไข่ลวกที่ลวกในน้ำเดือดกว่า 80 องศาบริเวณต้นน้ำอีกด้วย แล้วก็ขี่มอเตอร์ไซค์คันเก่งไปที่โป่งกัน เปลี่ยนชุดแช่น้ำร้อนซึ่งไม่มีโคลนมากวนใจ นั่งแช่เท้า นอนแช่ตัว เอาเปลญวนมาผูกขึงนอนอ่านหนังสือ ให้ไอน้ำร้อนมากระทบผิวก็แสนสบาย หลังจากนั้นก็ไปต่อกันที่หมู่บ้านสันติชล ไปกินบะหมี่ยูนนาน เส้นเหนียวนุ่มคล่องคอ หมั่นโถวทอดร้อนๆ และเลี่ยงเฟิง หรือเฟรนฟรายยูนนาน อร่อยมากๆ แล้วก็แวะเข้าไปด้านใน ชมบ้านดิน ร้านค้าผลไม้อบแห้ง และชาต่างๆ มีร้านวาดรูปด้วย มีเกี้ยวให้นั่งถ่ายรูป มีชิงช้าให้นั่งโล้ เดินเล่นชมหมู่บ้านพักใหญ่ ก็แวะซื้อรองเท้าผ้าสไตล์ยูนนานที่ทำกันเองแล้วก็ขับกลับเพื่อไปวัดน้ำฮู กราบไหว้หลวงพ่ออุ่นเมืองเพื่อเป็นสิริมงคล แล้วเราก็กลับที่พักเพราะฝนตกเบาๆ สลับแดดออกตลอดเวลา เหนื่อยง่ายกว่าเดิม คืนนี้พวกเรามานอนกันที่บ้านทะเลหมอก ปายฤดูฝนราคาที่พักจะถูกมากอย่างไม่น่าเชื่อเลย ราคาอยู่หลักร้อยทั้งนั้น

เช้า วันสุดท้าย ฝนตกอีกแล้วแต่เราไม่กลัว ใส่ชุดกันฝนแล้วลุยเมืองปายต่อ ตอนเช้าอย่างนี้แวะกินโจ๊กหมูที่ถนนคนเดิน แล้วฉีกปาท่องโก๋ตัวใหญ่โรยหน้างาดำร้านบัง อร่อยมาก แล้วเราจะไปจุดชมวิวหยูนไหลกันต่อ โดยใช้ทางเดียวกับที่ไปหมู่บ้านสันติชล แต่เลี้ยวซ้ายเพราะเลี้ยวขวาจะไปน้ำตกหมอแปง ซึ่งขากลับเราแวะไปกันด้วย น้ำใสไหลแรงและเย็นเจี๊ยบ จุดชมวิวหยูนไหลเป็นทางขึ้นเขาชัน ต้องจอดมอเตอร์ไซค์ไว้ด้านล่างแล้วเดินขึ้นเขา เหนื่อยมากเพราะมันชัน แต่พอขึ้นไปถึงก็หายเหนื่อย เพราะเรามองเห็นปายอยู่ในหุบเขาได้อย่าง 360 องศาจริงๆ ขากลับลงมาผ่านชุมชนเหมือนมาเมืองจีนเลย จากนั้นก็แวะน้ำตกหมอแปง แล้วก็กลับลงไปที่พัก เพื่อเก็บสัมภาระแล้วขี่มอเตอร์ไซค์กลับลงไปที่เชียงใหม่ เพื่อให้ทันรถกลับรอบ 1 ทุ่มเหมือนเดิมนั่นเอง
เราใช้เวลา 3 วัน 3 คืน ไป-กลับ กรุงเทพฯ-ปาย แบบสมบุกสมบันมาก แต่เป็นการเดินทางที่ไม่ลองไม่รู้อีกหนึ่งทริป เพราะเชื่อว่าการเดินทางที่แตกต่างกัน แม้ไปที่เดียวกัน เรื่องเล่าย่อมต่างกัน แล้วคุณ…จะหลงรักปายหน้าฝนอย่างพวกเรา

การเดินทาง